ประกาศ! ห้ามใช้ฟอนต์ DB ผ่าน AI โดยไม่ซื้อ... อ่านรายละเอียด
DB Black is Back

นักออกแบบไทยในยุค Digital ที่ไม่เคยศึกษาประวัติตัวพิมพ์ของยุโรปมาก่อน ถ้าได้ปะทะสายตาจังๆ เข้ากับตัวอักษรในคัมภีร์ไบเบิลของ Johann Gutenberg คงคิดว่าเป็นการเขียนด้วยมือ. แท้จริงแล้วเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยระบบ Letter Press ครั้งแรกของโลกในปี ค.ศ.1455 โดยใช้ตัวเรียงพิมพ์ที่ลอกมาจากสไตล์การเขียนแบบ Blackletter ตระกูล Textura (จัดเป็น Blackletter ยุคแรกๆ) หน้าตาจึงโบราณขนาดหนัก. อย่าตกใจถ้ารู้ความจริงว่าเป็นชุดตัวพิมพ์ที่มีถึงกว่า 300 รูปอักษร นั่นเพราะมันรวมเอาตัวพิเศษที่มี ligature (พวกรวบหัวรวบหางเข้าด้วยกัน ฯลฯ) และพวก diacritic (สัญลักษณ์ที่ใช้กํากับการออกเสียงเฉพาะบางตัวอักษร) ถือได้ว่าเป็นอุตสาหศิลป์ที่สูงส่งถึงขั้นส่ง Gutenberg ขึ้นสวรรค์ได้เลยทีเดียว!

เส้นหน้า เส้นหลังของตัวอักษร ถูกเชื่อมต่อด้วยปลายเส้นน้ําหนักบาง
Jenson
แบบตัวเรียงพิมพ์ในหนังสือ The Natural History of Pliny the Elder (1476)
ออกแบบโดย Nicholas Jenson (1420-80) ช่างแกะตัวพิมพ์และช่างพิมพ์ชาวฝรั่งเศส.
มีอิทธิพลทําให้ตัว Blackletter ล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว เพราะอ่านง่ายกว่า.
Jenson ถือเป็นต้นแบบของตัวพิมพ์อักษรโรมันในยุคต่อมา
Blackletter
แบบตัวเรียงพิมพ์ (movable type) ชุดแรกของโลก ในหนังสือคัมภีร์ไบเบิลของ Johann Gutenberg (1455),
ตั้งชื่อตามสไตล์ตัวเขียนซึ่งใช้เป็นต้นแบบที่ดูเข้ม เพราะมีน้ําหนักเส้นหนาและช่องไฟชิด

ตัวพิมพ์ Blackletter นอกจากจะเป็นอัตลักษณ์ของชาติเยอรมันแล้วยังส่งอิทธิพลไปสู่ตัวพิมพ์หลายประเทศในยุโรป. Old English น่าจะเป็น Blackletter ที่คนไทยคุ้นเคยที่สุดเพราะถูกใช้เป็นหัวหนังสือพิมพ์ Bangkok Post. อย่างไรก็ตามตัวพิมพ์ Blackletter ไม่นิยมใช้เป็น text เท่าใดนัก ด้วยความที่มันอ่านยาก (โดยเฉพาะตัวอักษรใหญ่) จึงถูกแทนที่ด้วย Jenson (ของ Nicholas Jenson ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งโรงพิมพ์อยู่ในกรุงเวนิส ในช่วง 1470s) ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ที่เกิดจากลายมือเขียนเช่นกัน.

Notre Dame
ฟอนต์แบบ Textura Blackletter
สังเกตตัวพิมพ์เล็ก v และ w เน้นเส้นแนวตั้ง ไม่มีเส้นทแยงอย่างตัวพิมพ์เล็กมาตรฐานในปัจจุบัน

ลักษณะเด่นของ Blackletter แบบ Textura ที่เห็นได้ชัด คือตัวพิมพ์เล็กมีทรงผอมเน้นเส้นแนวตั้ง (แม้แต่ตัว v และ w ที่เราคุ้นเคยเห็นเป็นเส้นแนวทแยง ก็กลับเขียนอยู่ในแนวตั้ง), พื้นที่ว่างด้านในตัวอักษรมีความกว้างใกล้เคียงกับความหนาของเส้นแนวตั้ง. จุดน่าสังเกตที่สุดคือตัวพิมพ์เล็กหลายตัวจะจบปลายเส้นด้วยรูปขนมเปียกปูน แทนที่จะเป็น Serif ซึ่งลักษณะเด่นนี้เคยถูกนํามาเขียนดัดแปลงเป็นอักขระไทยเพื่อแสดงความเป็น ‘ประเทศอารยะ’ เยี่ยงชาติตะวันตกมาช้านานแล้ว.

ในโลกปัจจุบัน นอกจากเราจะพบเห็นอักษรเขียนแบบ Blackletter ในป้ายชื่ออาคารโบราณ เช่น อาคารรัฐสภา ในกรุงเบอร์ลิน หรือศาสนสถานในเยอรมันนี, สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ แล้วยังสามารถพบการใช้งานกับเรื่องประเภทย้อนยุค ไม่ว่าจะเป็นปกพ็อกเก็ตบุ๊คหรือบนกล่อง DVD หนังฝรั่ง แม้กระทั่ง CD เพลงหนักโหด, แบบรอยสัก ฯลฯ แสดงให้เห็นว่า Blackletter ไม่เคยตายไปจากโลกของงานออกแบบ.

เมื่อผมตั้งเป้าไว้ว่าจะออกแบบตัว Blackletter แบบไทย ก็พบว่ามีคนทําเป็นฟอนต์ออกมาแล้ว และถูกจํากัดการใช้งานด้วยลักษณะที่โบราณตามต้นแบบของฝรั่ง, ดังนั้นคงจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าเราปรับปรุงตัว Blackletter ให้มันร่วมสมัยเสียก่อนแล้วค่อยแปลงเป็นไทย. การทําให้มันดูเรียบง่ายขึ้นนั้น เรื่องแรกคือจับชุดตัวพิมพ์ใหญ่ของมันโยนทิ้งไปก่อน เพราะมันอ่านแทบไม่รู้เรื่องเลย! (นับว่างานผมเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว) จากนั้นค่อยมาพิจารณาดูตัวพิมพ์เล็ก.

จะเห็นได้ว่าในตัวพิมพ์เล็กของมันทั้งเส้นบนและเส้นล่างจะหักเป็นมุมเหลี่ยม (คล้ายตัวพิมพ์บรัดเลย์เหลี่ยมของไทย) เพียงแต่เส้นมันหนาและมีการใส่คลื่นโค้งเล็กน้อยทุกครั้งที่กดปากกาหรือพู่กันปากแบนในแนวเส้นทแยง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการเปลี่ยนทิศทางของการเดินเส้นหรือเพื่อการจบปลายเส้นคล้าย serif ก็ตาม. ดังนั้น ลองจินตนาการดูว่าถ้าไม่มีเส้นหนักเบาและไม่หลงเหลือเส้นโค้งใน Blackletter เลยแล้วรูปร่างหน้าตาของฟอนต์โฉมใหม่ที่น่าจะกลับมาแจ้งเกิดได้อีก (ทั้งในภาคอักษรโรมันและอักษรไทย) ควรจะเป็นอย่างไร.

DB Black is Back มีแต่ตัวตั้งตรง ไม่มีตัวเอน เช่นเดียวกับตัว Blackletter ดั้งเดิม

จุดสําคัญคือ stroke ที่ปิดปลายเส้นแนวดิ่งถูกปรับให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแบบด้านเท่า โดยให้มันวางทับกึ่งกลางเส้นแบบซื่อๆ ไปเลย. เส้นบนเส้นล่างที่เคยทิ้งปลายแหลมเชื่อมติดกันถูกเปลี่ยนเป็นเส้นน้ําหนักเดียวให้ดูเด็ดขาดขึ้น. เส้นเฉียงของตัว e ซึ่งมีน้ําหนักบางถูกเติมให้หนาให้ใกล้เคียงกับเส้นแนวตั้ง ตัว a, s, v, w แบบ Textura ดั้งเดิมนั้นอ่านยาก ถูกปรับเปลี่ยนให้มีเส้นแนวทแยงแบบตัวโรมันยุคปัจจุบัน รวมทั้งการควบคุมเส้นให้ดูเสมือนเท่ากันตลอดในแต่ละตัวอักษร.

เนื่องจากตัวอักษรไทยแบบเสมือนโรมันโดยมากทําจากตัวพิมพ์เล็ก. งานตัวภาษาไทยจึงไม่ยากนัก. เพียงแต่หัวอักษรบางตัว เช่น ค, จ เลือกที่จะใช้รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนวางเข้าหาเส้นตั้งเล็กน้อย ละวางคอเพื่อควบคุมไม่ให้อักษรกว้างเกินไปตามแบบฉบับของ Textura ขนานแท้.

ในการออกแบบตัวพิมพ์ใหญ่มีความแตกต่างไปจากตัวพิมพ์เล็กที่เห็นได้ชัด คือการตัดปลายเส้นแนวนอนทั้งบนล่างเป็นแนวทแยง เช่นตัว B, D, E ซึ่งเมื่อยาวเกินเส้นแนวตั้งออกมาแล้วจะดูคล้าย serif กลายๆ ปลายสระและวรรณยุกต์ในชุดภาษาไทยก็ตัดทแยงเช่นเดียวกัน.

โดยส่วนตัวแล้วผมชอบตัวโรมันชุดนี้ไม่ว่าจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ล้วนๆ หรือใช้ผสมกับตัวพิมพ์เล็กก็ตาม. ทําให้คิดว่า Blackletter น่าจะกลับมานิยมมากขึ้นอีกในเมืองไทย จึงให้ ชื่อว่า DB Black is Back เสียอย่างงั้น! ส่วนตัวอักษรไทยของมันจะได้รับความนิยมหรือเปล่าขึ้นอยู่กับทัศนะของนักออกแบบไทยจะมองบุคลิกของมันว่าเป็นแค่ฝรั่งหัวโบราณที่พยายามทําตัวให้ทันสมัย หรือฝรั่งหัวใหม่ที่ไม่ทิ้งลายวัฒนธรรมดั้งเดิม.

จากคอลัมน์ a font a month
idesign magazine ฉบับ August 2010